
ฆ่าเพื่อความเป็นใหญ่..เป็นเผด็จการตัวร้าย ติดอันดับโลกไปแล้ว

“สภาพเหมือนตะวันออกกลาง เพราะความคลั่งอำนาจ ที่ไม่รู้จักพอ”
ดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา มีพระแทบทุกตารางนิ้วของแผ่นดิน ..”พม่า” มีแต่กองศพ และซากปรักหักพัง เห็นสภาพแล้ว-แสนเหี่ยวห่อ
ตัวเลขแห่ง “นักสู้ประชาธิปไตย” ตายไปแล้ว แตะถึง ๒๐๐ ศพ..และยังฆ่าอย่างคลั่งเลือด ทวีเพิ่มขึ้นอีกอย่างไม่หยุดยั้ง .. “มิน อ่อง หล่าย” สัตว์กระหายเลือด ที่อยู่ในคราบทหาร ใช้ปืนฆ่าอย่างไม่เกรงอาญาโลก
“ประชาชนชาวพม่า-ยังมือเปล่า” แต่ก็สู้ด้วยอุดมการณ์อย่างไม่ถอย..เห็นชะตากรรมชาวพม่า ตายเกลื่อนถนน ท่วมท้นแผ่นดิน “พ่อแม่พี่น้องชาวหม่อง” ก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน ต้องเอาขวดบรรจุน้ำมัน ออกมาเผารถทหาร
ถือปืนแล้วไล่ฆ่าราษฎร..มันเป็นฆาตกร-ตัวมาร
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“โลกต้องรู้ การเป็นนักสู้ สู้กันในทุกวิกฤต”
พร้อมสู้อย่างไม่ลดละ ขอให้มีลมหายใจ ติดอยู่กับร่างและในชีวิต
ลุกขึ้นมาสู้ในยามที่คนอื่นเขานอน “ทนายอานนท์ นำภา” อยู่อย่างห้าวหาญ ไม่ยอมถอยสักนิด
เขียนบรรยายให้เห็นภาพ มีชายซึ่งไม่เขียนป้ายชื่อ บ่งบอกถึงเป็นเจ้าหน้าที่คนใด ที่นำตัว “ไมค์และไผ่” ออกไปในช่วงดึกสงัด..ช่วงเวลาที่ “ตรวจโควิด-๑๙” มีเวลาออกให้ถม..การนำตัวไป ความหวั่นจึงเกิดขึ้น
ชีวิตทุกคนต้องม้วย..แต่เสียงเรียกร้องเพื่อให้ช่วย เพื่อประกาศ-ในจุดยืน
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“เหยียบบ่า คนไร้การศึกษา ไปสู่เส้นทางอำนาจ”
จะจบปริญญาโท มหาวิทยาลัยดังแห่งประเทศไทย หลักที่มีความสำคัญ ต้องเห็น “หัวของคนในชาติ”
จบสูงก็เป็น “ฆาตกร” ใช้สไนเปอร์ยิง “คนเสื้อแดง” หัวทะลุสมองกระจาย เมื่อปี ๕๓ ตายเกลื่อนเป็นใบไม้ร่วง เห็นกันมาแล้ว
ความรู้สูงแต่ใจต่ำ คิดแต่จะรับใช้ “คนมีอำนาจอย่างเดียว” ก็ไม่เป็นที่ปรารถนาของใครทั้งนั้น.. คนที่จบจาก “ราชภัฏ” ใช้ความรู้อย่างถูกทำนองคลองธรรม ไม่แย่งชิงอำนาจของใคร เขาดีกว่าบางคนที่จบสูงแล้ววิ่งหาเก้าอี้
วัดคนที่การศึกษา..เราจึงได้พวกไร้ค่า ครองเมืองพร้อมกับ-เสียงยี้
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ยิ้มกันแก้มตุ่ย เดินฉุยฉายกันระรื่น
“๓ ป” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ-พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา และ อนุทิน ชาญวีรกูล-จุรินทร์ ลักษณ์วิศิษฏ์” ร่วมโต๊ะกลม ประชุมปรับ “ครม.ประยุทธ์๒/๓” กันอย่างครึกครื้น
ยังไม่เห็น “ความราบรื่น” ที่จะฟันฝ่าปัญหาวิกฤตของชาติ ผ่านอุปสรรค ที่ต่อยอดทอดอำนาจมาจาก “รัฐบาล คสช.” มาถึง “รัฐบาลประยุทธ์” กันได้เลย
“นักการทหาร” และ “นักการเมือง” เข้าสู่วิมานฉิมพลี ได้รับความสู่ ทั้งจากบ้านพักค่ายทหาร มาสู่พรรคการเมือง..แต่จนแล้วจนรอด ปัญหาของชาติบ้านเมือง ก็แก้กันไม่คลี่คลาย ปัญหาใหญ่คนตกงานยังทับถม
“ทหารกับพรรคร่วมรัฐบาล”…ดูจะสำราญ ทั้งที่ประชาชนต่าง-ขื่นขม
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“ไม่ใช่เป็นพวกไทยเฉย ละเลยถึงบ้านเมืองจะเล่นเป็นโจ๊ก”
บางคนยังทนอยู่ได้ ทั้งที่ความเดือดร้อน เข้ามาเคาะถึงประตูหน้าบ้านแล้ว ที่มี “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นนายกฯ
รู้ว่าน้ำน้อยแพ้ไฟอย่างแน่นอน แต่ “ชาวบ้านบางระจัน” ก็ไม่นั่งงอมืองอเท้า ให้อริราชศัตรู ผ่านปราการชาวบ้านเลือดนักสู้กลุ่มนี้ไปได้
“กรุงศรีอยุธยา” แตกซ้ำ ย่ำรอยเดิมเลย ..ถ้าหากร่วมใจสู้กับ “ชาวบางระจัน”..แต่ความเป็น “ไทยเฉย” ดูจะเข้าสายเลือด มาถึง “คนไทยดักดาน” ที่ปล่อยให้แผ่นดินโรยรา แล้วไม่ลุกขึ้นมาต่อสู้ เหมือนลูกหลานบุเรงนอง
เขาสู้กันเพื่อชาติ..ไม่มีจิตใจขยาด กันสักนิดเลย-ล่ะพี่น้อง
“กะพรุนไฟ”
๑๗ มีนาคม ๒๕๖๔