คดีส.ป.ก.รุกอุทยานเขาใหญ่ “เศรษฐา”ปล่อยเป็นมวยล้ม

          “บิ๊กแป้ง” ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทวงเกษตรและสหกรณ์ เจ้าของนโยบาย “เปลี่ยนส.ป.ก.เป็นโฉนด”  เจ้าของวลี “ผมเป็นเจ้ากระทรวง” เมื่อออกหน้าด้วยตนเองลงพื้นที่ดูปัญหาเจ้าหน้าที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.) จังหวัดนครราชสีมา  ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่กล่าวหาว่าแอบบุกรุกเขตอุทยานฯออกเอกสารสิทธิส.ป.ก.โดยมิชอบ  แต่หลุดคิวแสดงความยิ่งใหญ่และหน้าแตกแสดงความไม่รู้เรื่องกฎหมายจนต้องกลับลำหาทางลง 

          จากข้อกล่าวหาที่เจ้าหน้าที่อุทยานฯร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ว่ามีบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่สนับสนุนให้เกิดการกระทำผิด  มีคณะพนักงานเจ้าหน้าที่รู้เห็นเป็นใจกระทำเป็นขบวนการสนับสนุนเกี่ยวข้องกันเพื่อออกเอกสาร ส.ป.ก. 4-01 โดยมิชอบในเขตป่าอนุรักษ์  ทับซ้อนกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ 972-2-79 ไร่ และทับซ้อนในพื้นที่ป่าไม้ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 อีก 486-1-74 ไร่ 

          แล้วในเวลาอันรวดเร็วบิ๊กแป้งออกมาตั้งโต๊ะแถลงว่า “จบแล้ว” ไม่มีใครผิดใครถูก  อ้างข้อมูลกรมแผนที่ทหาร  อ้างแนวกันชน  ฟังดูเหมือนส.ป.ก.ไม่ผิด  ฟังดูเหมือนนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ  กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ที่กล้าท้าชนออกมาแฉขบวนการเขมือบป่าเป็นฝ่ายเข้าใจผิดมโนภาพไปเองอย่างนั้นหรือ

          และฟังดูเหมือน “กรมแผนที่ทหาร” คือหน่วยงานศักดิ์สิทธิที่เปรียบเสมือนผู้พิพากษาที่ผดุงความยุติธรรม  ออกมาตัดสินความคดีส.ป.ก.บุกรุกเขตอุทยานแห่งชาติเรียบร้อยไปแล้วกระนั้นหรือ

          ข้อเท็จจริงเรื่องนักการเมืองสมคบเจ้าหน้าที่รัฐออกเอกสารสิทธิในที่ดินรัฐให้นายทุนใหญ่นั้นมีมานานและชาวบ้านเห็นตำตามาตลอด  จนมาถึงเรื่องส.ป.ก. 4-01 ที่เคยทำให้รัฐบาลหนึ่งล่มมาแล้ว  จนมาถึงวันนี้ที่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ยอมให้กระทรวงเกษตราและสหกรณ์ ภายใต้การดูแลของพรรคพลังประชารัฐ  ออกระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เปลี่ยนหนังสือแสดงสิทธิที่ ส.ป.ก.4-01 เป็น “โฉนดเพื่อการเกษตร” ซึ่งสามารถซื้อขายได้ภายใน 5 ปี

          หลักการเปลี่ยนส.ป.ก.เป็นโฉนดเพื่อเพิ่มมูลค่าในที่ดินไม่เพียงช่วยเกษตรกร  แต่ยังเป็นช่องทางเอื้อนายทุนและเป็นการชี้โพรงให้กระรอกในการเปลี่ยนที่ดินเพื่อการเกษตรเป็นเพื่อการพาณิชย์  ยิ่งไปกว่านั้นยังเหมือนการเร่งให้เกิดการบุกรุกที่สาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ เขตป่าไม้ ป่าสงวน เขตอุทยานฯ เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า เพื่อออกเอกสารสิทธิส.ป.ก.เอาไปแปลงเป็นโฉนดในอนาคต

          ดังเช่นกรณีออกส.ป.ก.รุกเขตอุทยานเขาใหญ่ที่นายชัยวัฒน์แจ้งว่าบริเวณนั้นมีราคาไร่ละประมาณ 30 ล้านบาท  คนหนึ่งได้ 15 ไร่ ถือเอาไว้ 5 ปีขายได้ 450 ล้านบาท  บุกรุก1,000ไร่คูณไปเป็นเงินกี่หมื่นล้านบาท

          นายชัยวัฒน์เปิดเผยว่าได้ตรวจสอบอุทยานทั้ง 142 แห่ง พบการออกเอกสาร ส.ป.ก.ในเขตอุทยานมากกว่า 200,000 ไร่ ยังไม่นับรวมเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่ากำลังรวบรวมข้อมูล

           ดูแล้วพฤติกรรมไม่ใช่แค่เข้าใจผิดหรือทำงานผิดพลาด  แต่เป็นความตั้งใจของผู้มีอำนาจสั่งการ  รู้วิธีการที่จะยึดพื้นที่ป่าด้วยวิธีการถูกกฎหมาย  เจ้าหน้าที่แอบดำเนินการอย่างลับๆโดยไม่ให้เจ้าหน้าที่ส่วนอื่นร่วมรับรู้ทั้งเจ้าหน้าที่อุทยาน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน  ราษฎรในพื้นที่  เอารายชื่อบุคคลอื่นนอกพื้นที่ที่ไม่เคยทำกินมาเป็นผู้ครอบครองรับเอกสารสิทธิ  ซึ่งผิดปกติวิธีปฏิบัติและระเบียบของส.ป.ก.เอง

          การประกาศดำเนินคดี 6 เจ้าหน้าที่ส.ป.ก.นครราชสีมาเป็นแค่ละครฆ่าตัดตอนไม่ให้ถึงตัวการใหญ่  และเมื่อเจ้ากระทรวงออกมาสรุปว่าจบ  ไม่มีใครผิด  เป็นแค่ข้อขัดแย้ง ก็ยกเลิกดำเนินคดีอย่างนั้นหรือ

           บิ๊กแป้งยืนยันว่า หนังสือที่เจ้ากรมแผนที่ทหารนำเสนอต่อนายกฯ ระบุชัดเจนว่าพื้นที่ที่ ส.ป.ก. ไปปักหมุดอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ไม่ได้อยู่ในเขตอุทยาน แต่เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวอยู่ใกล้กับพื้นที่อุทยานเขาใหญ่ จึงเห็นว่าควรกันเป็น “พื้นที่กันชน” 

           “ต่อจากนี้ 2 หน่วยงานจับมือพิทักษ์ป่าพื้นที่อุทยานด้วยกัน ทำกันชนทั้งประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา” ฟังดูเท่ห์

          แต่คนอย่าง ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ไม่ยอมจบ  ยังอยากมีเรื่องต่อ  ยังออกมายืนยันแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ที่ประกาศตามพระราชกฤษฎีกาปี พ.ศ.2505  พร้อมข้อมูลว่าไม่เพียงมีหมุดพิกัดชัดเจน  แต่ในปี 2538 สมัยประจวบ ไชยสาสน์ เป็นรมว.เกษตรในขณะนั้นเสนอครม.เห็นชอบและอนุมัติให้ทำโครงการสร้างแนวเขตรอบอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ปี 2539 ใช้งบประมาณ 69.5 ล้านบาท  ปี 2540 ใช้งบประมาณ 76.29 ล้านบาท จัดทำแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่โดยมีถนนเป็นเส้นหลัก  ซึ่งสมัยนั้นอยู่ภายใต้กรมป่าไม้  มาแยกเป็นกรมอุทยานในปี 2545          

          ยืนยันว่ามีหลักฐานชัดเจนว่า อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มีพระราชกฤษฎีการองรับ ที่ใช้ในชั้นศาลมานานกว่า 30 ปี ไม่มีแนวกันชน “ที่บอกว่าเป็นแนวกันชนคือแนวหลอกลวงหรือเปล่า” นี่คือคำถามที่ฝากกลับไปถงบิ๊กแป้ง 

          กรณีที่เกิดกับเขาใหญ่วันนี้ทำให้นึกถึงนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์  ที่เคยออกมาเปิดเผยเมื่อต้นปี 2566 ว่าจะมีการเซ็นคำสั่งปรับแนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี และนครราชสีมา เพื่อกันพื้นที่ให้รีสอร์ท และบ้านพักตากอากาศ 400 กว่าแห่ง ที่ถูกดำเนินคดีบุกรุกพื้นที่อุทยาน โดยมีนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง

          บ้านพักตากอากาศ และรีสอร์ท ที่บุกรุกพื้นที่อุทยานฯ ทับลานในเขต อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา และ อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี จำนวน 418 คดี ในช่วงปี 2554-2555 โดยเป็นพื้นที่ ส.ป.ก. ที่ประกาศทับเขตอุทยานฯ กว่า2แสนไร่

          ช่วงเวลานั้นมีความพยายามดำเนินการเรื่องนี้ โดยผ่านสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) ที่มีนางรวีวรรณ ภูริเดช เป็นผู้อำนวยการ นำเรื่องแนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) เข้ามาใช้  แต่ถูกขวางโดยคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติฯ 

          สคทช.คือหน่วยงานขึ้นตรงกับสำนักนายกรัฐมนตรี มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการ  ในสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มอบหมายให้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะรองนายกฯนั่งดูแลแทน  วันนี้พล.อ.ประวิตร คือหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ  ที่ส่งพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ไปนั่งตำแหน่งรองนายกฯและรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  และให้ร้อยเอก ธรรมนัส คุมกระทรวงเกษตรฯ

         ส่วนในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ได้มอบหมายให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.พาณิชย์มานั่งเป็นประธานคุมสคทช. ซึ่งไม่มีบทบาทอะไรเลยทั้งๆที่ควรจะลงมาจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นนี้โดยตรง  

          เรื่องการรักษาป่าไม้ของชาติที่นักอนุรักษ์อย่าง สืบ นาคะเสถียร ยอมถวายชีวิต แต่นายกฯเศรษฐา ปล่อยให้เป็นมวยล้ม  ให้นักการเมืองเกี่ยเซียะจูบปากกันแล้วจบกันง่ายๆ  วิธีการบริหารบ้านเมืองแบบนี้ไม่ใช่แค่ไม่อาจลบล้างภาพ “ตระบัตย์สัตย์”แต่อาจทำให้ถูกมองว่าร่วมขบวนการปล้นป่าหรือไม่